ประวัติจังหวัดกาฬสินธุ์

สมัย กรุงธนบุรีประมาณ พ.ศ.2310 พระเจ้าองค์เวียนดาแห่งนครเวียงจันทน์ ได้สิ้นพระชนม์ โอรสท้าวเพี้ยเมืองแสนได้ยกกองทัพเข้ายึดเมืองเวียงจันทน์และได้สถาปนา ขึ้นเป็น พระเจ้าแผ่นดินสืบแทน ทรงพระนามว่า "พระเจ้าศิริบุญสาร" พ.ศ. 2320
ท้าวโสมพะมิตร และ อุปราชเมืองแสนฆ้องโปง เมืองแสนหน้าง้ำเกิดขัดใจกับพระเจ้าศิริบุญสาร
จึงรวบรวมผู้คนอพยพจากดินแดนทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ข้ามมาตั้งบ้านเรือนบริเวณลุ่มน้ำก่ำแถบบ้านพรรณา (ปัจจุบันอยู่ในเขตจังหวัดสกลนคร) ต่อมาท้าวศิริบุญสารได้ยกกองทัพติดตามมา ท้าวโสมพะมิตรจึงอพยพต่อไปโดยแยกเป็น 2 สาย คือ
สายที่ 1 มี เมืองแสนหน้าง้ำเป็นหัวหน้า อพยพไปทางทิศตะวันออกสมทบกับพระวอหลบหนีไปจนถึงนครจำปาศักดิ์ขอพึ่งบารมี ของพระเจ้าหลวงแห่งนครจำปาศักดิ์ และตั้งบ้าน เรือน ณ ดอนค้อนกอง ต่อมาเรียกว่า "ค่ายบ้านดู่บ้านแก" ในปี พ.ศ. 2321 พระเจ้าศิริบุญสาร ให้เพี้ยสรรคสุโภย
ยกกองทัพมาปราบ พระวอตายในสนามรบ ผู้คนที่เหลือจึงอพยพไปอยู่ในเกาะกลางลำแม่น้ำมูล ชื่อว่า "ดอนมดแดง" (ปัจจุบันอยู่ในเขตจังหวัดอุบลราชธานี)
สายที่ 2 มีท้าวโสมพะมิตรเป็นหัวหน้า ได้อพยพข้ามสันเขาภูพานลงมาทางใต้ และตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านกลางหมื่น ต่อมาท้าวโสมพะมิตร ได้ส่งท้าวตรัยและคณะ ออกเสาะหาชัยภูมิที่จะสร้างเมืองใหม่ใช้เวลาประมาณปีเศษจึงพบทำเลที่เหมาะสม คือบริเวณลำน้ำปาวและเห็นว่าแก่งสำโรงชายสงเปลือยมีดิน น้ำอุดมสมบูรณ์ จึงอพยพผู้คนมาตั้งบ้านเรือนและได้จัดตั้งศาลเจ้าพ่อหลักเมือง
พ.ศ. 2336 ท้าวโสมพะมิตรได้ นำเครื่องบรรณาการ คือ กาน้ำสัมฤทธิ์ เข้าถวายสวามิภักดิ์ต่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี และขอตั้งบ้านแก่งสำโรงขึ้นเป็นเมือง ได้รับพระราชทานนามว่า "กาฬสินธุ์" และได้แต่งตั้งให้ ท้าวโสมพะมิตรเป็น "พระยาชัยสุนทร"
พ.ศ. 2437 สมัยพระยาชัยสุนทร (ท้าวเก) ได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองเป็นแบบเทศาภิบาล มี มณฑล จังหวัดอำเภอ ตำบล และให้เมืองกาฬสินธุ์ เป็น "อำเภออุทัยกาฬสินธุ์" ขึ้นกับจังหวัดร้อยเอ็ด
วันที่ 1 สิงหาคม 2456 ได้ยกฐานะอำเภออุทัยกาฬสินธุ์เป็น "จังหวัดกาฬสินธุ์" ให้มีอำนาจปกครอง อำเภออุทัยกาฬสินธุ์ อำเภอสหัสขันธ์ อำเภอกุฉินารายณ์ อำเภอ กมลาไสย และอำเภอยางตลาด โดยให้ขึ้นต่อมณฑลร้อยเอ็ด
วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2474 จังหวัดกาฬสินธุ์ถูกยุบเป็นอำเภอ ขึ้นกับจังหวัดมหาสารคาม และ 1 ตุลาคม 2490 ได้ยกฐานะเป็น "จังหวัดกาฬสินธุ์" จนถึงปัจจุบัน
กาฬสินธุ์เป็นจังหวัดที่มีความอุดมสมบูรณ์จังหวัดหนึ่งในภาคอีสาน
จากหลักฐานทางโบราณคดีบ่งบอกว่าเคยเป็นที่อยู่อาศัยของเผ่าละว้า ซึ่งมีความเจริญทางด้านอารยธรรมประมาณ 1,600 ปี จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์เริ่มตั้งเป็นเมืองในสมัยรัตนโกสินทร์ เมื่อปี พ.ศ. 2336 โดยท้าวโสมพะมิตร ได้อพยพหลบภัยมาจากดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงพร้อมไพร่พล และมาตั้งบ้านเรือนอยู่ริมน้ำปาว เรียกว่า “บ้านแก่งสำโรง” แล้วได้นำเครื่องบรรณาการเข้าถวายสวามิภักดิ์ต่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลกมหาราช ต่อมาได้รับพระกรุณาโปรดเกล้า ยกฐานะบ้านแก่งสำโรงขึ้นเป็นเมืองและพระราชทานนามว่า “เมืองกาฬสินธุ์” หรือ “เมืองน้ำดำ” ซึ่งเป็นเมืองที่สำคัญทางประวัติศาสตร์มาตั้งแต่สมัยโบราณกาล “กาฬ”แปลว่า “ดำ” “สินธุ์” แปลว่า “น้ำ” กาฬสินธุ์จึงแปลว่า “น้ำดำ” ทั้งมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้ท้าวโสมพะมิตรเป็น “พระยาชัยสุนทร” ครองเมืองกาฬสินธุ์เป็นคนแรก
จังหวัด กาฬสินธุ์ ห่างจากกรุงเทพมหานคร โดยทางรถยนต์ประมาณ 519 กิโลเมตร มีเนื้อที่ ประมาณ 6,946.746 ตร.กม. หรือ ประมาณ 4,341,716 ไร่ หรือ ร้อยละ 4.5 ของพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ตราสัญลักษณ์ประจำจังหวัด

สัญลักษณ์ประจำจังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นรูปบึงใหญ่ ตฤณชาติและเมฆพยับฝน หมายถึง สัญลักษณ์ของความชุ่มชื้นและความอุดมสมบูรณ์ของภูมิภาค ทิวเขาตรงสุดขอบฟ้า คือ แนวกั้นเขตแดนกับจังหวัดใกล้เคียง น้ำในบึงมีสีดำเพื่อให้ตรงกับชื่อของกาฬสินธุ์ ตั้งเป็นเมือง พ.ศ.2336 จังหวัดกาฬสินธุ์แยกจาก จังหวัดมหาสารคาม เมื่อ พ.ศ. 2490 ให้ชื่อย่อ "กส"
คำขวัญประจำจังหวัด
หลวงพ่อองค์ดำลือเลื่อง เมืองฟ้าแดดสงยาง โปงลางเลิศล้ำ วัฒนธรรมผู้ไทย
ผ้าไหมแพรวา ผาเสวยภูพาน มหาธารลำปาว ไดโนเสาร์สัตว์โลกล้านปี
ต้นไม้ประจำจังหวัด

ต้นมะหาด
ดอกไม้ประจำจังหวัด

รายพระนาม นาม ผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมือง ข้าหลวงประจำจังหวัดและ
ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์
|
ลำดับ |
รายพระนาม/นาม |
ปีที่ดำรงตำแหน่ง (พ.ศ.) |
|
1 |
พระยาชัยสุนทร (โสมพะมิตร) ผู้ก่อตั้งเมืองและเจ้าเมืององค์แรก |
2336 - 2349 |
|
2 |
พระยาชัยสุนทร (หมาแพง) |
2349 - 2369 |
|
3 |
พระยาชัยสุนทร (เจียม) |
2371 - 2382 |
|
4 |
พระยาชัยสุนทร (หล้า) |
2383 - 2388 |
|
5 |
พระยาชัยสุนทร (ทอง) |
2389 - 2394 |
|
6 |
พระยาชัยสุนทร (จารย์ละ) |
2394 - 2395 |
|
7 |
พระยาชัยสุนทร (กิ่ง) |
2395 - 2411 |
|
8 |
พระยาชัยสุนทร (หนู) |
2411 - 2420 |
|
9 |
พระยาชัยสุนทร (นนท์) |
2420 - 2425 |
|
10 |
พระยาชัยสุนทร (พั้ว) |
2425 - 2433 |
|
11 |
พระยาชัยสุนทร (เก) |
2433 - 2437 |
|
12 |
พระยาชัยสุนทรเทพกิจจารักษ์ (ทอง จันทรางสุ) |
2437 - 2444 |
|
13 |
หลวงอภัย |
2444 - 2455 |
|
14 |
พระยาชัยสุนทร (ปุย อินทรตุล) |
2455 - 2461 |
|
15 |
พระยาชัยสุนทรภักดี |
2461 - 2474 |
|
16 |
พระเสน่หามนตรี |
2474 - 2483 |
|
17 |
พระอรรถเปศลสรวดี |
2483 - 2490 |
|
18 |
ขุนบริบาลบรรพตเขต |
2490 - 2492 |
|
19 |
ขุนรัตนวรพงศ์ |
2492 - 2493 |
|
20 |
นายปลั่ง ทัศนประดิษฐ์ |
2493 - 2496 |
|
21 |
ขุนบุราษฎรนราภัย |
2496 - 2497 |
|
22 |
นายเชวง ไสยสุต |
2497 - 2499 |
|
23 |
นายพร บุญยประสบ |
2500 - 2502 |
|
24 |
นายเลื่อน ไขแสง |
2502 - 2509 |
|
25 |
นายบุรี พรหมลักขโณ |
2509 - 2513 |
|
26 |
นายสง่า จันทรสาขา |
2513 - 2515 |
|
27 |
นายวิเชียร เวชสวรรค |
2515 - 2516 |
|
28 |
นายดำรง วชิโรดม |
2516 - 2519 |
|
29 |
นายอรุณ ปุสเทพ |
2519 - 2521 |
|
30 |
นายกรี รอดคำดี |
2521 - 2523 |
|
31 |
นายประกิต พิณเจริญ |
2523 - 2527 |
|
32 |
นายสนอง รอดโพธิ์ทอง |
2527 - 2528 |
|
33 |
ร.ต.ปฏิภาณ จูฑะพุทธิ |
2528 - 2531 |
|
34 |
ร.ต.วัฒนา สูตรสุวรรณ |
2531 - 2533 |
|
35 |
พ.ต.ดาวเรือง นิชรัตน์ |
2533 - 2535 |
|
36 |
นายสนิทวงศ์ อุเทศนันทน |
2535 - 2538 |
|
37 |
นายชวพงษ์ วัฒนสินธ |
2538 - 2540 |
|
38 |
นายประสิทธิ์ พรรณพิสุทธิ์ |
2540 - 2541 |
|
39 |
นายวีระ เสรีรัตน |
2541 - 2542 |
|
40 |
นายชัยรัตน์ มาประณีต |
2542 - 2546 |
|
41 |
นายวรสิทธิ์ โรจนพานิช |
2546 - 2547 |
|
42 |
นายนิรันดร์ จงวุฒิเวศย์ |
2547 - 2548 |
|
43 |
นายกวี กิตติสถาพร |
2548 - 2550 |
|
44 |
นายประชา จิตสุทธิผล |
2550 - 2551 |
|
45 |
นายเดชา ตันติยวรงค์ |
2551 - 2552 |
|
46 |
นายวิโรจน์ จิวะรังสรรค์ |
2552 - 2554 |
|
47 |
นายสมศักด์ สุวรรณสุจริต |
2554 - 2555 |
|
48 |
นายสุวิทย์ สุบงกฎ |
2555 - 2557 |
|
49 |
นายภุชงค์ โพธิกุฎสัย |
2557 - 2558 |
|
50 |
นายวินัย วิทยานุกูล |
2558 – 2559 |
|
51 |
นายณัฐภัทร สุวรรณประทีป |
1 ต.ค. 2559 - 4 เม.ย. 2560 |
|
52 |
นายสุวิทย์ คำดี |
5 เม.ย. 2560 - 30 ก.ย. 2560 |
|
53 |
นายไกรสร กองฉลาด |
1 ต.ค. 2560 – 30 ก.ย.2562 |
|
54 |
นายชัยธวัช เนียมศิร |
1 ต.ค. 2562 - 30 ก.ย. 2563 |
|
55 |
นายทรงพล ใจกริ่ม |
1 ต.ค. 2563 – 30 ก.ย. 2565 |
|
56 |
นายศุภศิษย์ กอเจริญยศ |
2 ธ.ค. 2565 – 30 พ.ย. 2566 |
|
57 |
นายสนั่น พงษ์อักษร |
1 ตุลาคม 2566 – ปัจจุบัน |
เป้าหมายการพัฒนาจังหวัด : มั่งคั่งด้วยเกษตรปลอดภัย ท่องเที่ยววิถีใหม่ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง (ปี 2566 - 2577 ประจำปี 2566)
ตัวชี้วัดเป้าหมายการพัฒนาจังหวัด :
1) ผลิตภัณฑ์มวลรวมเฉลี่ยต่อคนต่อปีเพิ่มสูงขึ้น (ค่าเป้าหมายเพิ่มขึ้นร้อยละ 3)
2) สัดส่วนคนจนลดลง (ค่าเป้าหมาย ลดลงร้อยละ 4.5 ต่อปี)
ประเด็นการพัฒนา :
1) พัฒนาศักยภาพที่มุ่งเน้นการพัฒนาสินค้าเกษตรและอาหารปลอดภัย
2) ยกระดับคุณภาพและรายได้ด้านการท่องเที่ยว และส่งเสริมการค้า การลงทุน และอุตสาหกรรมปลอดภัย
3) เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
4) การพัฒนาทุนมนุษย์ ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างสังคมที่มีความมั่นคงและสงบสุข
แนวทางการพัฒนา
1) พัฒนาศักยภาพที่มุ่งเน้นการพัฒนาสินค้าเกษตรและอาหารปลอดภัย
1.1) การบริหารจัดการพื้นที่เกษตรและส่งเสริมให้เกษตรกรดั้งเดิมพัฒนาสู่เกษตรสมัยใหม่รองรับกิจ กรรมเกษตร
และอาหารปลอดภัย
1.2) การวิจัยและพัฒนาวิธีการผลิต แปรรูป การบรรจุ มาตรฐานการผลิตและความปลอดภัยผลิตภัณฑ์ด้วย
นวัตกรรม เทคโนโลยี ให้มีคุณภาพระดับสูง เพื่อการส่งออกและรองรับตลาดสมัยใหม่
1.3) ส่งเสริมการรวมกลุ่มวิสาหกิจ/สหกรณ์/ผู้ประกอบการใหม่ เพิ่มศักยภาพการบริหารจัดการและระบบบัญชี
เพื่อดำเนินกิจกรรมเกษตรและอาหารปลอดภัย
1.4) การบริหารจัดการสินค้าเกษตรพัฒนาและเสริมประสิทธิภาพระบบกระจายสินค้า และการตลาดครบวงจร
2) ยกระดับคุณภาพและรายได้ด้านการท่องเที่ยว และส่งเสริมการค้า การลงทุน และอุตสาหกรรมปลอดภัย
2.1) พัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวหลัก ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน แห่งท่องเที่ยวชุมชน กิจกรรมการท่องเที่ยว สินค้า
ทางการท่องเที่ยว ผู้ประกอบการ การตลาดและการประชาสัมพันธ์ และยกระดับภาพลักษณ์ในเชิงคุณภาพ
2.2) พัฒนาผลิตภัณฑ์ สินค้า OTOP ผลิตภัณฑ์ชุมชนโดยส่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ และการเพิ่มศักยภาพวิสาหกิจ
ขนาดกลางและขนาดย่อมด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี ให้มีคุณภาพระดับสูงเพื่อการส่งออกและรองรับตลาด
สมัยใหม่
2.3) ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาระบบโลจิสติกส์ ส่งเสริมการลงทุนและอุตสาหกรรมด้านการเกษตรและ
อาหารปลอดภัย
3) เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
3.1) เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำและเพิ่มพื้นที่กระจายน้ำรองรับกิจกรรมเกษตรและอาหารปลอดภัย
3.2) เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการดิน และส่งเสริมการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในทุกภาคส่วน
3.3) การบริหารจัดการขยะที่เหมาะสม และสร้างวินัยของคนสู่การจัดการที่ยั่งยืน
4) การพัฒนาทุนมนุษย์ ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างสังคมที่มีความมั่นคงและสงบสุข
4.1) พัฒนาทุนมนุษย์วัยแม่และเด็ก
4.2) พัฒนาทุนมนุษย์วัยปฐมวัย วัยเรียน วันรุ่น
4.3) พัฒนาทุนมนุษย์วัยทำงาน
4.4) พัฒนาทุนมนุษย์วัยผู้สูงอายุ
4.5) การรักษาความสงบเรียบร้อยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติ
(น้ำท่วม/น้ำแล้ง)
4.6) ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด
4.7) ป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และการทุจริตและประพฤติมิชอบ
4.8) การลดความเหลื่อมล้ำ เข้าถึงกระบวนการยุติธรรม
4.9) เพิ่มประสิทธิภาพการบริการภาครัฐ
สภาพทั่วไปของจังหวัดกาฬสินธุ์
1. สภาพทั่วไป
1.1 ขนาดและที่ตั้ง
จังหวัดกาฬสินธุ์ ตั้งอยู่ตอนกลางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างเส้นละติจูด( เส้นรุ้ง )ที่ 16-17 องศา
เหนือ และลองติจูด(เส้นแวง )ที่ 103-104 องศาตะวันออก ห่างจากกรุงเทพมหานคร โดยทางรถยนต์ประมาณ 519
กิโลเมตร มีเนื้อที่ประมาณ 6,946.746 ตร.กม. หรือประมาณ 4,341,716 ไร่ หรือร้อยละ 4.5 ของพื้นที่ภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือ มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดใกล้เคียง ดังนี้
ทิศเหนือ ติดต่อกับจังหวัดสกลนคร และ จังหวัดอุดรธานี โดยมีลำน้ำปาวและห้วย พันชาดเป็น
แนวแบ่งเขต
ทิศใต้ ติดต่อกับจังหวัดร้อยเอ็ด และ จังหวัดมุกดาหาร
ทิศตะวันออก ติดต่อกับจังหวัดสกลนคร และ จังหวัดมุกดาหาร โดยมีสันปันน้ำของ เทือกเขาภูพานเป็น
แนวแบ่งเขต
ทิศตะวันตก ติดต่อกับจังหวัดมหาสารคาม โดยมีลำน้ำชี เป็นเส้นแบ่งเขต และบางส่วน ติดต่อกับ
จังหวัดขอนแก่น

1.2 ลักษณะภูมิประเทศ
จังหวัดกาฬสินธุ์มีลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาสูงจนถึงที่ราบลุ่มมีน้ำแช่ขัง ดังนั้นลักษณะภูมิประเทศโดยทั่วไปของ
จังหวัดจึงมีลักษณะ ดังนี้
ลักษณะภูมิประเทศที่เป็นภูเขา อยู่ทางด้านทิศเหนือติดต่อกับจังหวัดขอนแก่นและอุดรธานี และ
บางส่วนทางทิศตะวันออกที่เป็นเทือกเขาภูพานติดต่อกับจังหวัดสกลนคร และนครพนม เป็นบริเวณที่มีความ
สูงตั้งแต่ 250 เมตร ถึง 500 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง
ลักษณะภูมิประเทศที่เป็นหุบเขา
เป็นที่ราบลุ่มในระหว่างหุบเขาของเทือกเขาภูพานในเขตอำเภอเขาวง ซึ่งติดต่อกับจังหวัดสกลนคร และ
นครพนมทางทิศ ตะวันออกของจังหวัด
2. การปกครอง
จังหวัดกาฬสินธุ์ได้แบ่งการปกครองส่วนภูมิภาคคออกเป็น 18 อำเภอ 135 ตำบล 1,584 หมู่บ้าน
การปกครองส่วนท้องถิ่น ประกอบด้วย องค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 แห่ง เทศบาลเมือง 2 แห่ง
เทศบาลตำบล 77 แห่ง องค์การบริหารส่วนตำบล 71
3. สภาพทางสังคม
3.1 ประชากร
จังหวัดกาฬสินธุ์ มีประชากรทั้งสิ้น ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 จำนวน 983,418 คน แยกเป็น ชาย 487,451 คนหญิง 495,967 คน ประชากรส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงาน โดยอำเภอที่มีประชากรมากที่สุดได้แก่ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์รองลงมาคือ อำเภอยางตลาด และอำเภอกุฉินารายณ์ โดยมีความหนาแน่นของประชากร 141.57 คน / ตร.กม.
3.2 การศึกษา
การศึกษาภาคบังคับได้แพร่กระจายไปอย่างทั่วถึง
การศึกษาในระดับมัธยมศึกษาในขณะนี้ได้ขยายออกไปสู่ชนบทครอบคลุมทุกพื้นที่ ส่วนด้านการศึกษานอก
ระบบโรงเรียนได้ส่งเสริมการศึกษาผู้ใหญ่แบบต่าง ๆ ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ตลอดจนการฝึกอาชีพให้กับผู้ที่สน
ใจทั่วไปรวมทั้งยังส่งเสริมให้มีการศึกษาในพุทธศาสนาด้วย
3.3 การศาสนา
ประชากรส่วนใหญ่ของจังหวัดกาฬสินธุ์นับถือศาสนาพุทธ
จึงมีวัดและสำนักสงฆ์ในพุทธศาสนากระจายอยู่ทั่วไปในจังหวัด ข้อมูล ณ เดือนมกราคม 2564 มีวัดจำนวน
ทั้งสิ้น 955 แห่ง โดยเป็นวัดราษฎร์จำนวน 954 แห่ง และพระอารามหลวง 1 แห่ง
3.4 การสาธารณสุข
การดำเนินการด้านสาธารณสุข จังหวัดกาฬสินธุ์ได้ดำเนินการในรูปแบบผสมผสาน
คือ มุ่งในด้านรักษาพยาบาล การสุขาภิบาล สิ่งแวดล้อม การป้องกันและส่งเสริมสุขภาพพร้อมกันไปกับการ
สาธารณสุขมูลฐาน
4. สภาพเศรษฐกิจ
4.1 สภาพเศรษฐกิจโดยทั่วไป
ภาวะเศรษฐกิจของจังหวัดกาฬสินธุ์
การผลิตภาคการเกษตรโดยรวมลดลงจากปีก่อนเนื่องจากพื้นที่เพาะปลูกบางส่วนประสบอุทกภัย ด้าน
ปศุสัตว์เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่ด้านการประมงเพิ่มขึ้น
สำหรับด้านอุตสาหกรรมเป็นอุตสาหกรรมขนาดย่อมที่ใช้ทุนไม่มาก ในด้านการใช้จ่ายภาคเอกชนเพิ่มขึ้น
เนื่องจากกำลังซื้อของประชาชนเพิ่มขึ้นจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น
ซึ่งเป็นผลจากโครงการพิเศษในด้านต่าง ๆ ของรัฐ ภาคการค้าดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยเฉพาะยอด
ขายรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่เพิ่มสูงขึ้น
ในภาคการบริการและการท่องเที่ยวจำนวนผู้เข้าพักโรงแรมเพิ่มขึ้น ภาวการณ์จ้างงานในจังหวัดปีนี้ทรงตัวจาก
ปีก่อน สำหรับภาคการเงิน ยอดเงินฝากคงค้างมากขึ้น
และสินเชื่อคงค้างเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ในด้านการคลังปีนี้สามารถเก็บรายได้เพิ่มขึ้น
4.2 การเกษตรกรรม
จังหวัดกาฬสินธุ์ มีพื้นที่ 6,946.746 ตารางกิโลเมตร หรือ 4,341,716 ไร่
มีเนื้อที่ถือครองเพื่อการเกษตร ในปี พ.ศ. 2563 รวมทั้งสิ้น 2,823,890 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 65.25 ของพื้นที่
ทั้งหมด และเกษตรกรที่ได้ชึ้นทะเบียนเกษตรกรทั้งสิ้น 274,107 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 88.10 ของครัว
เรือนทั้งจังหวัด
4.3 การอุตสาหกรรม
จังหวัดกาฬสินธุ์ มีโรงงานที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการ (สะสม) ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2564 จำนวน
ทั้งสิ้น 386 โรงงาน เงินทุนรวม 20,506.71 ล้านบาท และมีจำนวนคนงาน 6,813 คน
ตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไชเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติโรงงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562
4.4 การพาณิชยกรรม
ด้านการค้า มีผู้ประกอบการทั้งหมด จำนวน 1,476 ราย
- บริษัท จำกัด 98 แห่ง
- ห้างหุ้นส่วนจำกัด 825 แห่ง
- จดทะเบียนพาณิชย์ 553 แห่ง
ผลิตภัณฑ์ OTOP ที่สำคัญได้แก่ ผ้าไหมแพรวา ดอกไม้ประดิษฐ์
ข้าวกล้องหอมมะลิข้าวสารจ้าวหอมมะลิ ไส้กรอกปลาระดับการพัฒนา มีผลิตภัณฑ์มวลรวม GPP ของ
จังหวัด 20,465 ล้านบาท รายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปีของประชากร 21,954.- บาท
5. ทรัพยากรธรรมชาติ
5.1 ทรัพยากรป่าไม้
จังหวัดกาฬสินธุ์ มีพื้นที่ป่าไม้ 1,144,700 ไร่ หรือประมาณ 26.36 % ของพื้นที่ทั้งหมดของจังหวัด
- อุทยานแห่งชาติ มี 1 แห่ง คือ อุทยานแห่งชาติภูพาน มีพื้นที่ที่อยู่ในเขต
จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 57,500 ไร่
- เขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า มี 1 แห่ง คือ เขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าภูสีฐาน มีพื้นที่ประมาณ 28,125 ไร่
- เขตห้ามล่าสัตว์ป่า มี 1 แห่ง คือ เขตห้ามล่าสัตว์ป่าลำปาว มีพื้นที่ประมาณ 200,000
ไร่ ( พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่น้ำของเขื่อนลำปาว )
- วนอุทยาน มี 3 แห่ง ได้แก่ วนอุทยานภูพระ มีพื้นที่ประมาณ 6,200 ไร่ , วนอุทยานภูวัว มีพื้นที่
ประมาณ 4,000 ไร่ และวนอุทยานภูแฝก มีพื้นที่ประมาณ 4,062.50 ไร่
5.2 ทรัพยากรน้ำ
แหล่งน้ำธรรมชาติ แหล่งน้ำธรรมชาติที่สำคัญในจังหวัด และที่ไหลผ่านจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้แก่ ลำน้ำชี ,
ลำน้ำยัง ,ลำน้ำพาน และลำน้ำปาว เป็นต้น ซึ่งพื้นที่ที่ลำน้ำเหล่านี้ไหลผ่านประชากรจะได้รับประโยชน์ใน
ด้านการเกษตรเป็นอย่างมาก
แหล่งน้ำเพื่อการชลประทาน จังหวัดกาฬสินธุ์มีแหล่งน้ำเพื่อการชลประทาน ทั้งหมด 19 แห่ง แยกเป็น
โครงการชลประทานขนาดใหญ่ จำนวน 1 แห่ง คือ โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำปาวเก็บกักน้ำได้ 1,430
ล้าน ลบ.ม. พื้นที่รับประโยชน์ 314,300 ไร่ ครัวเรือนที่ได้รับประโยชน์ 31,400 ครัวเรือน โครงการชล
ประทานขนาดกลาง 18 แห่ง เก็บกักน้ำได้ 888.61 ล้าน ลบ.ม. พื้นที่รับประโยชน์ 72,800 ไร่ ครัวเรือนที่ได้
รับประโยชน์ 9,898 ครัวเรือน
6. สถานที่ท่องเที่ยว
สถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดกาฬสินธุ์ ประกอบด้วย
6.1 ด้านประวัติศาสตร์และโบราณวัตถุ
1 ) พิพิธภัณฑ์สิรินธร

จังหวัดกาฬสินธุ์ค้นพบซากโครงกระดูกของไดโนเสาร์ ซึ่งมีอายุกว่า 150 ล้านปี สถานที่ค้นพบ 3 แห่งได้แก่ วัดบ้านนาไคร้ อำเภอกุฉินารายณ์ วัดสักกะวัน อำเภอสหัสขันธ์ และที่เชิงเขาวัดภูปออำเภอเมืองกาฬสินธุ์จังหวัดกาฬสินธุ์ได้ดำเนินการพัฒนาแหล่งการท่องเที่ยว โดยได้จัดสร้าง พิพิธภัณฑ์ สิรินธร ที่บริเวณภูกุ้มข้าววัดสักกะวัน อำเภอสหัสขันธ์
ซึ่งเป็นแหล่งที่มีการค้นพบชิ้นส่วนโครงกระดูกไดโนเสาร์ที่มีความสมบูรณ์และมากที่สุดในประเทศไทย
( มากกว่า 600 ชิ้น ) ซึ่งในปี พ.ศ. 2545 มีนักท่องเที่ยวมาชม จำนวน 180,998 คน
2 ) อนุสาวรีย์พระยาชัยสุนทร ( ท้าวโสมพะมิตร )

ตั้งอยู่หน้าที่ทำการไปรษณีย์ โทรเลขจังหวัดกาฬสินธุ์
เป็นอนุสาวรีย์หล่อด้วยสัมฤทธิ์เท่าตัวจริงยืนบนแท่น มือขวาถือกาน้ำ มือซ้ายถือดาบอาญาสิทธิ์
ชาวกาฬสินธุ์ได้สละทรัพย์ก่อสร้างอนุสาวรีย์ เป็นการแสดงกตเวทิตาคุณต่อผู้ให้กำเนิดเมืองกาฬสินธุ์
3 ) พระพุทธสถานภูปอ
ตั้งอยู่ตำบลภูปอ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ ห่างจากกาฬสินธุ์ไปทางทิศเหนือประมาณ 28 กิโลเมตร ไปทางอำเภอสมเด็จหรืออำเภอสหัสขันธ์ เป็นที่ประดิษฐ์พระพุทธรูปโบราณปางไสยาสน์ ฝีมือช่างจากสมัยทวาราวดี จำหลักบนหน้าผา 2 องค์ เป็นที่เคารพบูชาของชาวจังหวัดกาฬสินธุ์และจังหวัดใกล้เคียง องค์แรกประดิษฐานอยู่บนภูปอ นอกจากภูปอจะเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปปางไสยาสน์อันศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยังเป็นสถานที่มีทิวทัศน์ตามธรรมชาติที่สวยงามเหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจอย่างยิ่ง
4 ) เมืองฟ้าแดดสงยาง

ตั้งอยู่ในเขตอำเภอกมลาไสย ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 20 กิโลเมตร มีซากอิฐปนดินคูเมืองสองชั้น มีลักษณะเป็นท้องน้ำที่พอมองเห็น คือพระธาตุยาคูผังเมืองรูปไข่แบบทวาราวดี แต่มีตัวเมืองสองชั้นเชื่อว่าเกิดจากการขยายตัวเมือง ชาวนามักขุดพบใบเสมา หินทรายมีลวดลายบ้างไม่มีบ้าง ที่ขึ้นทะเบียนไว้ทางกรมศิลปากร 130 แผ่น พระพิมพ์ดินเผามีลักษณะเป็นอิทธิพลของสกุลช่างคุปตะรุ่นหลัง อายุประมาณ1,000 - 2,000 ปี นอกจากนี้ยังพบกล้องยาสูบดินเผาลวดลายอมราวดีก้านขดเป็นรูปตัวมังกร อายุ 7,000 ปี ที่น่าสนใจคือกล้องยาสูบชนิดเดียวกันแต่ทำด้วยทองสัมฤทธิ์อายุประมาณ 5,000 – 6,000 ปี ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่ายุคโลหะของสุวรรณภูมิได้เริ่มมาก่อนทุก ๆ แห่งในโลกนี้
5 ) หมู่บ้านพัฒนาวัฒนธรรมผู้ไทยบ้านโคกก่อง
อำเภอกุฉินารายณ์ ห่างจากจังหวัดกาฬสินธุ์ประมาณ 90 กิโลเมตร ได้รับรางวัลชนะเลิศหมู่บ้านวัฒนธรรมดีเด่นแบบ HOME STAY
6.2 แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ
1) เขื่อนลำปาว เป็นเขื่อนดิน สูงจากท้องน้ำ 33 เมตร สันเขื่อนยาว 7.8 กิโลเมตรกว้าง 8 เมตร นับเป็นเขื่อนดินยาวที่สุดในประเทศไทย เริ่มก่อสร้างเมื่อ พ.ศ. 2506 เพื่อปิดกั้นลำน้ำปาวและห้วยยางที่เป็นหนองสองห้อง ตำบลลำปาว อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ ทำให้เกิดเป็นอ่างเก็บกักน้ำแฝดทางด้านเหนือเขื่อนจึงได้ขุดร่องเชื่อมระหว่างอ่างทั้งสองให้เป็นอ่าง เดียวกันซึ่งตัวอ่างเก็บกักน้ำได้ 1,430 ล้านลูกบาศก์เมตร มีพื้นที่รับน้ำเหนือเขื่อน 5,960 ตาราง กิโลเมตรทางเข้าเขื่อนแยกจากทางหลวงสายกาฬสินธุ์ – มหาสารคาม ที่กิโลเมตรที่ 10 ประมาณ 26 กิโลเมตร เขื่อนลำปาวเป็นเขื่อนที่สร้างขึ้นเพื่อบรรเทาอุทกภัยและเพื่อการเกษตรโดยเฉพาะนอกจากนั้นยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลา เป็นเส้นทางคมนาคมทั้งทางน้ำทางบก และยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ
2) หาดดอกเกด ซึ่งเป็นสวนไม้ดอกไม้ประดับที่ปรับปรุงได้อย่างสวยงามอยู่บริเวณหน้าสันเขื่อนลำปาวและอุทยานสัตว์น้ำ ซึ่งเป็นศูนย์เพาะพันธุ์ปลารวมทั้งจัดเป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำด้วย
3) สวนสะออน (สถานศึกษาธรรมชาติและสัตว์ป่าลำปาว) เป็นสวนป่าธรรมชาติอยู่ทางทิศเหนือทางเขื่อนลำปาว มีเนื้อที่ประมาณ 1,420 ไร่ สร้างขึ้นเพื่อรักษาป่าธรรมชาติ สัตว์นานาชนิดที่สำคัญ คือ วัวแดง ซึ่งเป็นสัตว์ที่หาดูได้ยาก และใกล้ จะสูญพันธุ์แล้ว การปรับปรุงโดยทำเป็นสวนป่าธรรมชาติ ปรับปรุงบริเวณให้สะอาดร่มรื่นปลูกต้นไม้เพิ่มเติม แบ่งภายในบริเวณสวนสะออนออกเป็นส่วน ๆ โดยสร้างรั้วตาข่ายล้อมรอบแล้วนำสัตว์ป่าในเมืองไทย ทุกชนิดมาปล่อยไว้ให้นักท่องเที่ยวเข้าชมและศึกษาตลอดทั้งหาความเพลิดเพลินกับธรรมชาติด้วย
4) น้ำตกแก้งกะอาม อยู่ในเขตบ้านแก้งกะอาม หมู่ที่ 6 ตำบลผาเสวย อำเภอสมเด็จห่างจากที่ว่าการอำเภอประมาณ 15 กิโลเมตร เป็นน้ำตกที่กำลังพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวลักษณะน้ำตกเป็นแก่งหินเรียงรายเป็นแนวยาว มีลานหินกว้าง สามารถจัดงานเทศกาลประจำปีได้มีถ้ำกว้าง สามารถเข้าพักผ่อนได้ การเดินทางเข้าชมทิวทัศน์สะดวกทุกฤดูกาล
5) ผาเสวย ตั้งอยู่บนเทือกเขาภูพานในเขตบ้านแก้งกะอาม หมู่ที่ 6 ตำบลผาเสวย เดิมชาวบ้านเรียกว่า “ผารังแร้ง” เมื่อ พ.ศ.2497 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสด็จผ่านและเสวยพระกระยาหารกลางวัน จึงเรียกที่ประทับแห่งนั้นว่า “ ผาเสวย ” ซึ่งมีลักษณะหน้าผาสูงชันตั้งอยู่บนเหวลึก บนผาเสวยสามารถชมทัศนียภาพ และเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจได้เป็นอย่างดี ระยะทางห่างจากที่ว่าการอำเภอสมเด็จ 17 กิโลเมตร เส้นทางสายอำเภอสมเด็จ – จังหวัดสกลนคร



